- Website Design
- Graphic Design
- Graphic Design Services
- Advisory
- ตลาดออนไลน์
- Website Marketing
- Social Networks
- Advisory
- IDM Brands
- Online Jewelry
- Interior Design
- Medical Tourism
- Case Studies
- Contact
Google Shopping เป็นตัวเลือกหนึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการช็อปปิ้งออนไลน์ แม้ว่าแคมเปญ ของ Google Shopping จะเป็นไปตามรูปแบบการจ่ายต่อคลิก (PPC) แต่ก็แตกต่างจากแคมเปญการค้นหาของ Google แบบดั้งเดิม และความแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นอาจดูเป็นเรื่องยากสำหรับมือใหม่
บล็อกนี้จะพูดถึงรายละเอียดทั้งหมดของแคมเปญ Google Shopping ทั้งวิธีใช้ google shopping การทำงานของ google shopping และโฆษณา google shopping เพื่อให้คุณในฐานะผู้ขายของร้านค้าออนไลน์หรือผู้โฆษณาออนไลน์ได้ทราบถึงข้อมูลเชิงลึกแลวิธีการที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานและลูกค้าของคุณ แน่นอนว่าหลังจากอ่านแล้วคุณจะสามารถทำแคมเปญได้อย่างมั่นใจและจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในกิจการอีคอมเมิร์ซของคุณ
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า Google Shopping เปรียบได้กับการโฆษณาแบบที่มีข้อความที่จำกัด แม้ว่าทั้งสองอย่างนี้จะถูกแสดงผ่านโฆษณาของ Google แต่ทราฟฟิคที่เกิดขึ้นบนแคมเปญของโฆษณา Google Shopping นั้นถือว่ามีประสิทธิภาพด้านต้นทุนมากกว่าและยังสามารถนำไปสู่ขั้นตอนการปิดการขายที่มากกว่า
ในการโฆษณาแบบ Search Campaign จะโฟกัสไปที่คีย์เวิร์ด แต่ Google Shopping มีการมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์บนหน้าเว็บไซต์ของคุณ และจะแสดงโฆษณาของสินค้านั้น ๆ ตามการค้นหาของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณ
ดังนั้นการเสนอราคาควรจะเกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์ไม่ใช่คีย์เวิร์ด
ในการเริ่มต้น ทั้งเจ้าของกิจการร้านค้าออนไลน์และผู้โฆษณาจึงต้องระลึกไว้เสมอว่าในการตั้งชื่อสินค้า จำเป็นจะต้องมีคีย์เวิร์ดรวมอยู่ในชื่อสินค้าด้วยเพื่อให้สินค้าปรากฏในหน้าการค้นหาที่เกี่ยวข้องและเพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงสินค้า
ชื่อสินค้าและคำอธิบายเป็นคุณสมบัติเด่นสองประการของ Data feed ที่ Google ใช้เพื่อเชื่อมโยงโฆษณาของคุณกับการค้นหาที่เกี่ยวข้องบน Google
การเสนอราคาหรือเรียกง่าย ๆ ว่าการตั้งราคาคงที่สำหรับกลุ่มสินค้า (ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นเดียวหรือสินค้าที่เป็นกลุ่มเดียวกัน) ซึ่ง Google จะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากธุรกิจของคุณเมื่อลูกค้าคลิกที่โฆษณาสินค้าคุณ
เนื่องจากการเสนอราคาใน Google Shopping มีน้อยกว่าใน Search Campaign สิ่งที่คุณต้องทำต่อไปนี้เมื่อโฆษณา Shopping คือกำหนดราคาเสนอให้ขึ้นอยู่กับระดับการแข่งขันและอัตรายอดขายของสินค้าคุณ
พูดง่าย ๆ คือ Google Merchant Center และ Google Ads ถือเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญต่อการทำโฆษณาแคมเปญ Google Shopping โดย Google จะแสดงผลแคมเปญของ ของ google shopping ads คุณดังนี้
Google Merchant Center เป็นสถานที่จัดเก็บข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับ Data feed ดังนั้น ในการใช้งาน Google ต้องการข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องการทำโฆษณา google shopping ทั้งหมด รายการสินค้าจึงต้องมีคุณสมบัติบางอย่างร่วมกัน
เนื่องจาก Google ต้องการข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่แม่นยำเพื่อแสดงโฆษณาของคุณ ในขั้นเริ่มต้น คุณต้องจัดเก็บและส่งฟีดในรูปแบบที่ระบุโดย Google และควรคำนึงถึงหลักเกณฑ์ชุดมาตรฐานของ Data feed โดย Google
หลังจากนั้น คุณจะต้องรอประมาณ 24-72 ชั่วโมงเพื่อให้ Merchant Center อนุมัติ Data feed ของคุณ
หากรูปแบบของข้อมูลที่จำเป็นขาดหายไปหรือไม่ถูกต้อง Merchant Center ก็จะปฏิเสธฟีด ในกรณีนี้คุณจะต้องแก้ไขฟีดและส่งใหม่ หากคุณละเมิดนโยบายใด ๆ ของ Google การใช้งานบัญชี Google Merchant Center ของคุณอาจถูกลบได้ ดังนั้นควรตรวจสอบให้ดีก่อนที่จะส่ง Data feed
สิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการทำแคมเปญกับ Google Ads และ Google Shopping Ads คือรูปภาพ ตรวจเช็คให้ดีว่าภาพของคุณมีความคมชัดและไม่ได้มีลายน้ำติดอยู่
ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของการทำแคมเปญ Google Shopping คือการสร้างบัญชี Google Ads และเชื่อมโยงกับบัญชี Merchant Center ของคุณ
Google Shopping ต้องทราบว่าสินค้าที่คุณต้องการนำเสนอคืออะไร Merchant Center เปรียบเสมือนร้านค้าหรือโกดังเก็บสินค้า ลิงก์หรือการเชื่อมต่อระหว่างสองเครื่องมือนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น เนื่องจากคุณต้องเลือกสินค้าจาก Merchant Center เพื่อเรียกใช้ในแคมเปญของ Google Shopping Ads
Google Ads เป็นสถานที่ที่คุณสามารถกำหนดค่าใช้จ่ายโดยการเสนอราคา จัดการการวางแผนโฆษณาของคุณ และดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพตามข้อมูลเชิงลึกด้านประสิทธิภาพ โดยคุณต้องสร้างแคมเปญการทำโฆษณา Shopping ก่อนและตั้งชื่อของสินค้า แล้วจึงเลือกประเทศที่ต้องการเข้าถึง
สิ่งสำคัญในขั้นตอนนี้คือการตั้งราคาเสนอ โดยคุณสามารถเสนอราคา (Bidding) ค่าใช้จ่ายได้ทันทีที่มีการสร้างกลุ่มสินค้า
ไม่ว่าคุณจะมีสินค้าเป็นพันรายการหรือเพียง 200 รายการในร้านค้า สินค้าของคุณก็ควรที่จะจัดเรียงเป็นกลุ่มสินค้าที่มีความเกี่ยวข้องกัน และในกรณีที่คุณมีสินค้าเพียง 200 รายการ คุณอาจไม่ได้จำเป็นต้องสร้างกลุ่มโฆษณาที่หลากหลาย แต่การสร้างกลุ่มโฆษณาเพียงกลุ่มเดียวอาจให้ผลลัพธ์ได้ดีกว่า ในขณะเดียวกัน หากคุณมีรายการสินค้าที่เยอะมาก ก็จะเป็นการดีกว่าที่จะสร้างกลุ่มโฆษณาเพิ่มเติมที่สามารถแบ่งตามแบรนด์หรือหมวดหมู่ได้
สินค้าทั้งหมดมีงบประมาณการเสนอราคาที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกัน (หมวดหมู่ผลิตภัณฑ์, อัตรากำไร, ยอดขาย ฯลฯ ) ซึ่งหมายความว่าคุณอาจจะหรืออาจไม่ต้องกำหนดงบประมาณการเสนอราคาเดียวกันสำหรับสินค้าของคุณหรืองบประมาณที่แตกต่างกันสำหรับสินค้าที่แตกต่างกันในร้านค้า
ด้วย Google Shopping คุณสามารถกำหนดราคาเสนอสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ ‘ สินค้าทั้งหมด’ หรือกำหนดราคาเสนอที่แตกต่างกันโดยการแบ่ง ‘สินค้าทั้งหมด’ เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็ก
วิธีที่คุณจัดเรียงกลุ่มผลิตภัณฑ์ในร้านค้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับคู่โฆษณาผลิตภัณฑ์ของคุณกับคำค้นหา เนื่องจากกลุ่มผลิตภัณฑ์มีไว้สำหรับตั้งค่าการเสนอราคาเท่านั้น
ในทางเทคนิคแล้ว Google Analytics นั้นไม่จำเป็น แต่ช่วยในการตรวจสอบผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณา shopping ads ได้
หลังจากตั้งค่า Google Analytics คุณจะต้องเชื่อมต่อเข้ากับ Google Shopping Ads ด้วย การเชื่อมต่อนี้จะช่วยให้คุณสามารถติดตามประสิทธิภาพการทำงานของ Google Shopping Ads ได้
คุณรู้หรือไม่ว่าข้อมูลผลิตภัณฑ์ใน google shopping ads สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญต่อตำแหน่งโฆษณาผลิตภัณฑ์ของคุณ? ซึ่งหมายความว่าข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ดีจะช่วยเพิ่มการแสดงผลโฆษณาบน Google
ดังนั้น ขณะที่คุณกำลังมุ่งพัฒนาเกี่ยวกับการขายสินค้าในแคมเปญ Google Shopping Ads มันสำคัญมากที่จะใช้เวลาและความพยายามในการเพิ่มประสิทธิภาพของข้อมูลผลิตภัณฑ์ของคุณ
สำหรับการทำ google shopping ads ชื่อผลิตภัณฑ์เป็นปัจจัยนำที่มีผลในการรับส่งข้อมูลไปยังร้านค้าออนไลน์ของคุณ ชื่อผลิตภัณฑ์ของคุณใน google shopping ads ควรมีคำหลักและวลีที่ตรงกับการค้นหาของกลุ่มเป้าหมายของคุณ
Google ใช้คำหลักและวลีเหล่านี้เพื่อตรวจสอบคุณภาพของหน้าเว็บในเว็บไซต์ของคุณ จำนวนอักขระที่แนะนำสำหรับชื่อผลิตภัณฑ์คือ 70 ตัวอักษร ในขณะที่ Google อนุญาตให้ใช้อักขระได้ 150 ตัว ชื่อผลิตภัณฑ์คือ 80% ที่ทำให้อันดับสูง อีก 20 % มาจากคำอธิบายผลิตภัณฑ์ ซึ่งควรมีความกระชับ เป็นคำธรรมดาที่ผู้ใช้จะถาม Google ในรูปแบบของคำค้นหา หากคุณไม่รู้ว่าจะเขียนคำอธิบายผลิตภัณฑ์อย่างไร ให้ดูว่าบริษัทคู่แข่งรายอื่น ๆ สร้างอย่างไร